Home » การขาดทุนของ JKN ในปี 2566 สุทธิ 2.15 พันล้าน
การขาดทุนของ JKN ในปี 2566 สุทธิ 2.15 พันล้าน

บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป หรือ JKN ได้ออกมาประกาศผลการดำเนินงานของตนในปี 2566 โดยมีการรายงานผลขาดทุนสุทธิรวมกันทั้งหมด 2,157 ล้านบาท โดยมีการลดลงจากปีก่อนหน้าที่รายงานผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 2,740 ล้านบาท ซึ่งมีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึงราว 470%

การประเมินด้อยค่าของสินทรัพย์ของบริษัทมีความสำคัญในการกำหนดค่าของสินทรัพย์ที่ถูกต้องในงวดปี 2566 โดยการเปรียบเทียบกับมูลค่าจากผู้ประเมินอิสระภายนอก นี่เป็นขั้นตอนสำคัญที่มีผลกระทบต่อการรายงานผลขาดทุนสุทธิของบริษัท และทำให้เกิดการลดลงของผลขาดทุนสุทธิที่มีนัยสำคัญในปี 2566 ลดลงจากปีก่อนหน้า

ในการรายงานผลดำเนินงานของบริษัท JKN ในปี 2566 ได้เผยแพร่ผลขาดทุนสุทธิจากการด้อยค่าในสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนและลิขสิทธิ์ของคอนเทนต์ของบริษัทและบริษัทย่อยรวมเป็นจำนวน 842 ล้านบาท

รวมถึงผลขาดทุนจากการด้อยค่าในเครื่องหมายการค้าและค่าความนิยมของบริษัทและบริษัทย่อยรวมเป็นจำนวนเงิน 271 ล้านบาท และการตั้งสำรองด้อยค่าในสินทรัพย์อื่นรวมเป็นจำนวน 31.48 ล้านบาท รวมทั้งสามรายการเป็นยอดรวมทั้งสิ้น 1,145 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีการรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของบริษัทและบริษัทย่อย โดยตั้งเป็นค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญรวมเป็นจำนวนราว 495 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าในเงินลงทุนในบริษัทย่อยรวมเป็นจำนวน 619 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการกระทบในงบการเงินเฉพาะแต่ละกิจการ

ในทางกลับกัน บริษัท JKN ได้แสดงให้เห็นถึงการมุ่งมั่นในการปรับปรุงและปรับตัวของตนเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการทำให้กิจการเป็นอย่างมีประสิทธิภาพและมีความสำเร็จในอนาคต

ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 บริษัท JKN รายงานผลการดำเนินงานที่แสดงให้เห็นถึงการลดลงของรายได้จากธุรกิจให้บริการและการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ โดยมีจำนวนลดลงอย่างมาก แม้จะมีรายได้จากการจัดประกวดนางงามจักรวาลที่จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2566 แต่ก็ไม่สามารถชดเชยรายได้ที่ลดลงได้

เหตุนี้เกิดขึ้นเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการจัดการสิทธิของมิสยูนิเวิร์สจากการจัดการประกวด 2 ครั้งในปี 2566 (จัดประกวดในเดือนมกราคม 2566 และ พฤศจิกายน 2566) โดยเกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในส่วนต้นทุนบริการของธุรกิจการขายและให้บริการ

ผลที่เกิดขึ้นส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิปรับตัวลดลงอย่างมาก มีการรายงานว่าอัตรากำไรสุทธิปรับตัวลดลงถึง -86.46% ในปี 2566 ซึ่งมีการปรับตัวลดลงจากอัตรากำไรสุทธิในปี 2565 ที่เท่ากับ 21.85% และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเมื่อเทียบกับรายได้รวมสำหรับปี 2566 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 99.39% จากอัตรา 18.16% ในปี 2565